Soarer
<Lexus SC 430>
Sports car แท้คันแรกในสายการผลิตของ Lexus Lexus SC430 คันนี้ มีคู่แฝดอีกคันหนึ่งนามว่า Toyota Soarer ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาและรายละเอียดทางเทคนิคเหมือนกันทุกประการ แตกต่างกันเพียงชื่อยี่ห้อและรุ่นที่แปะอยู่บนตัวรถเท่านั้น นัยว่าการที่จะเอาชื่อ Toyota ไปทำตลาดรถหรูในอเมริกา และ ยุโรปคงจะลำบากใจอยู่ไม่น้อย สู่ตั้งชื่อใหม่ในภาพพจน์ที่เป็นสากลอย่าง Lexus ไม่ได้
Lexus SC430 ถูกจัดวางให้เป็น Sports car รุ่นใหญ่เต็มตัวของค่าย Lexus และ Toyota รูปร่างหน้าตาได้รับการออกแบบให้โค้งมนกลมกลึงตามเทรนด์การออกแบบในยุคศตวรรษที่ 21 ออกไปในแนวเดียวกัน Audi TT ชุดไฟหน้ารูปร่างประหลาดคล้ายหยดน้ำ ภายในเลนส์ครอบมีดวงไฟฝังอยู่ข้างละ 3 ดวง ด้วยกันกระจังหน้าชุบโครเมียมลายขวางที่หวังให้ดูมีความหรูหรา ไฟท้ายมีรูปทรงคล้ายๆ กับไฟหน้า
ขนาดตัวถังของ SC430 ใหญ่โตอลังการไม่เบา ด้วยมิติรถที่ยาวถึง 4.515 ม. กว้าง 1.825 ม. สูง 1.355 ม. ส่วนฐานล้อยาวถึง 2.620 ม. เทียบขนาดตัวถังรถแล้วน่าจะใกล้เคียงกับ CL สปอร์ตรุ่นใหญ่ของ M-B นั่นทีเดียว ตามรายละเอียดระบุว่า SC430 เป็นรถ แบบ Convertible sport coupe 4 ที่นั่ง แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว ตำแหน่งที่นั่ง พื้นหลังน้อยไปนิดนึง เหมือนกับตั้งใจให้ไม่มีผู้โดยสารทางด้านหลังสักเท่าไรนัก ซึ่งความเป็นจริงแล้วรถหรูหราแพงสไตล์นี้เค้านิยมนั่งไปไหนมาไหนกันแค่ 2 คนเท่านั้น ที่นั้นด้านหลังมีเผื่อไว้แก้เก้อ สำหรับวางถุงกอล์ฟ หรือให้สุนัขคู่ใจนั่งเท่านั้นเอง
ถึงแม้ทางต้นสังกัดจะระบุมาอย่างชัดเจนในเอกสารว่ารถคันนี้เป็นแบบ
Convertible sport coupe
ก็ตามแต่มันก็ไม่ได้เปิดหลังคาโล่งรับสายลมชมแดดไปตลอดทางอย่างที่เข้าใจกัน
SC430
สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบจาก
Convertible มาเป็น Hard top
ได้ในเวลาเพียงแค่ 25
วินาที
โดยมีหลังคาแข็งที่ทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ซ่อนอยู่ตรงพนักพิงเบาะหลัง
แล้วก็ไม่ต้องลงไม้ลงมือออกแรงกันให้เมื่อย
เพียงกดปุ่มมันก็จะยกตัวขึ้นมาปิดให้เรียบร้อยแนบแน่นทันทีไม่รู้ว่าการออกแบบหลังคานี้เป็นอย่างไร
ก็ข้อกราบเรียนตรงนี้เลยว่ามันก็เป็น
เหมือนกับ Vario roof อยู่ใน M-B SLK
ทุกประการนั้นเอง ทาง Lexus
กล่าวว่า
หลังคานี้สามารถทำงานเมื่อยามรถเคลื่อนที่ได้
ในความเร็วไม่เกิน 5 กม./ชม.
ซึ่งถ้าเหยียบกันเป็นร้อยแล้วคิดจะปิดหลังคามาหลบแดดหลบฝนก็อดแน่นอน
ต้องจอดหรือชะลอรถให้อยู่ในระดับความเร็วที่
ปลอดภัยเสียก่อน
ไม่อย่างนั้นลองนึกภาพดูแล้วกันว่า
วิ่งอยู่สัก 120 กม. / ชม.
แล้วเกิดยกหลังคาขึ้นมาอะไรจะเกิดขึ้น
เครื่องยนต์ที่ได้รับการเลือกให้วางในฝากระโปรงของ SC430 เป็นเครื่องรุ่นใหญ่ของ Toyota ในรหัส 3UZ-FE ลำบึกด้วยโครงสร้างแบบ V8 สูบขนาดปริมาตรกระบอกสูบพุ่งทะลุขึ้นไปถึง 4,292 ซี.ซี. แรงอัดกระบอกสูบ 10.5 : 1 เนื่องจากไม่มีพ่วง Turbocharger หรือ Supercharger มาช่วยอัด ไอดี ฝาสูบเป็นแบบ DOHC 4 วาล์วต่อสูบ [32 วาล์ว] แถมพ่วงด้วยระบบ VVT-I [Variable Value Timing-intelligence ] รีดแรงม้าออกมาใช่งานได้ทั้งสิ้น 280 ps [260 Kw]/5,600 รอบต่อนาที กับแรงบิดสูงสุด 43.8 กก.-ม [430 Nm]/3,400 รอบต่อนาที ส่งถ่ายพละกำลังทั้งหมดผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 5 สปีด แบบ ECT-I [Electronically Controller Tranmissionwith intellgence] ต่อไปยังเพลากลาง แล้วลงสู่ล้อขับเคลื่อนทางด้านหลัง เพื่อให้เข้าตามธรรมเนียมนิยมของ สปอร์ตคาร์ ขั้นสูงที่ต้องเป็นแบบขับเคลื่อนล้อหลังเท่านั้น
รูปร่างหน้าตาและเทคโนโลยีของ SC430 ออกไปทางแหวกแนวล้ำยุคสมัยไม่น้อย แต่พอมาดูภายในห้องโดยสารการออกแบบตกแต่งไม่ค่อยสะดุดตาเท่าที่ควร ออกไปทางแนวเรียบสนิทไปหมด แผงหน้าปัดไม่มีอะไรโดดเด่นจะมีก็เพียง ชุดเรือนมาตรวัดที่ทำเป็นทรงกลมรวมอยู่ในกรอบเดียวกันให้ความเป็นสปอร์ตได้บ้างพอสมควร ส่วนนอกจากนั้นออกไปทางเรียบง่ายแม้จะใช่วัสดุชั้นดีประดับประดาอย่างเต็มเพียบแล้วก็ตาม โดยเฉพาะตรงคอนโซลกลางตั้งแต่แผงหน้าปัดลงไปไม่มีอะไรน่าสนใจแม้แต่น้อยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงของเล่นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายแหล่ แต่หมายถึงรูปแบบการดีไซน์จัดวางเสียมากกว่า
3 สี 3 สไตล์ ตามใจคุณ
ระบบช่วงล่าง ที่ Lexus ใช่สำหรับรองรับรถคันนี้ เป็นหน้าที่ของช่วงล่างแบบ Double wishbone หรือ ปีกนก 2 ชั้น นั้นเอง โดยมิได้มีเฉพาะทางด้านหน้าเพียบด้านเดียว แต่จัดวางเข้าไปที่ล้อทั้ง 4 รอบคัน ทำงานประสานกันกับคอยล์สปริง และช็อคแอบซอร์บเบอร์ นอกจากนั้นแล้วยังมีระบบไฮเทคอีกเพียบ อย่างเช่น VSC [Vehicle Skie Control] และ Traction Control มาให้ด้วย ส่วนล้อและยางที่มาตรฐานมาจากโรงงานนั้นเป็นขนาดขอบ 18" กับยางเบอร์ 245/40 ZR18 เพื่อหวังผลในการยึดเกาะถนนและฉับไวในการควบคุมขับขี่ ล้อและยางนี้มีออพชั่นให้เลือกแบบ Run-flat tires ด้วย มันสามารถวิ่งได้เป็นระยะทางถึง 160 กม. ด้วยความเร็วไม่เกิน 88 กม./ช.ม.โดยปราศจากลมในยาง นับเป็นเทคโนโลยีใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายไม่ต้องมานั่งเปลี่ยนล้อกันให้เสียเหงื่อเล่น ขับไปเรื่อยจนกว่าจะเจอร้านยางแล้วค่อยเปลี่ยน ตามประสาคนมีเงิน และเป็นที่แน่นอนว่าระบบเบรกที่คอยกำราบฝูงม้าทั้ง 280 ตัว ต้องเป็นหน้าที่ของดิสก์เบรกแบบมีรูระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ รอบคัน พร้อม ABS อีกเช่นกัน
ณ เวลานี้ Lexus SC430 ได้เดินทางมาถึงเมืองไทยเพื่อสนองความแรงให้กับนักเลงรถกระเป๋าหนักในบ้านเราแล้ว โดยการนำเข้ามาของผู้นำเข้าอิสระ หรือที่เรียกกันว่า Grey market ด้วยสนนราคาแถวๆ 7.9 ล้านบาท ซึ่งก็ไม่ทราบว่าต้องมีเล็ดรอดมาอวดโฉมบนท้องถนนบ้านเราได้สักกี่คัน